ประวัติ วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร

ประวัติ วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร (ภาคเหนือ:) เป็นพระอารามหลวงในจังหวัดเชียงใหม่ มีชื่อเรียกหลายชื่อ ได้แก่ ราชกุฏารัน วัดโชติการาม สร้างขึ้นในสมัยพญาแสนเมืองมา พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 แห่งราชวงศ์มังราย ไม่ทราบปีที่สร้างแน่ชัด เชื่อกันว่าวัดนี้สร้างขึ้นระหว่างปี 1928 ถึง 1945 และได้รับการบูรณะใหม่มาหลายยุคสมัย พระธาตุเจดีย์เป็นเจดีย์สำคัญอีกแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ กว้างด้านละ 60 เมตร ปัจจุบันเหลือเพียงครึ่งหนึ่งของรูปปั้นเท่านั้น หลังจากเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในรัชสมัยของพระเจ้ามหาเทวี จิรประภา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

วัดเจดีย์หลวงสร้างขึ้นใจกลางเมืองเชียงใหม่ ซึ่งแต่เดิมถือว่าเป็นศูนย์กลางการปกครองของอาณาจักรล้านนา ตั้งอยู่เลขที่ 103 ถนนพระปกเกล้า ตำบลพระสิงห์ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ภายในวัดมีพื้นที่ประมาณ 32 ตารางกิโลเมตร

ประวัติ วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร ที่ควรรู้

ประวัติ วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร จุฬาศากร 289 (พ.ศ. 1874) พญาแสนภูสั่งสร้างเมืองเชียงแสน และอีก 4 ปีต่อมาก็สร้างอาสนวิหาร [2] กลางเชียงแสน วัดเจดีย์หลวง 1 ตั้งอยู่ในวัดพระเจ้าเคลย์หลวงเชียงแสน . ในรัชสมัยของพระเจ้าแสนเมืองโอรสของพญากือนาเมื่อพระองค์มีพระชนมายุ 39 พรรษา ทรงโปรดให้สร้างเจดีย์หลวงขึ้นกลางเมืองเชียงใหม่ แต่ก่อนที่มันจะเสร็จเขาก็ตาย สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โปรดก่อสร้างยอดพระธาตุเจดีย์หลวงให้แล้วเสร็จปี พ.ศ.2598 พระเมืองแก้ว พร้อมด้วยชาวเมืองทุกท่าน นำเงินไปสร้างกำแพงสามชั้นรอบพระธาตุเจดีย์หลวง ส่งผลให้ได้เงิน 254 กิโลกรัม แล้วนำเงินมาแลกเป็นทองคำ 30 กิโลกรัม ปูเป็นแผ่นแข็งคลุมพระธาตุเจดีย์หลวง รวมทองคำที่หุ้มเจดีย์หลวงแต่เดิมแล้วมีน้ำหนักทองคำถึง 2,382.517 กิโลกรัม

ประมาณปี พ.ศ. 2088 ในสมัยสมเด็จพระนางเจ้าจิรประภามหาเทวี เกิดแผ่นดินไหวรุนแรงที่เชียงใหม่ ส่งผลให้ยอดเจดีย์หลวงหักพังทลายลงมา ต่อมาเจดีย์หลวงถูกทิ้งร้างมากว่า 400 ปี จนกระทั่งพระเจ้าอินทวิชยานนท์เจ้าเมืองเชียงใหม่องค์ที่ 7 ทรงรื้อถอนวัดเก่าเมื่อ พ.ศ. 2423 และสร้างวัดหลวงใหม่ที่สร้างด้วยไม้ทั้งหมดพ.ศ.2471-2481 ในสมัยของ พล.ต.เจ้าแก้ว นวรัฐ เจ้าเมืองเชียงใหม่คนสุดท้าย ถือได้ว่าครบรอบ 10 ปีแห่งการบูรณะวัดพระเจดีย์หลวงครั้งสำคัญ ซากปรักหักพังถูกทำลาย ป่าที่ปกคลุมโบราณสถานถูกตัดขาด และต่อมาวัดก็ได้รับการสร้างขึ้นใหม่เป็นวัดที่สมบูรณ์พระเจดีย์หลวง ได้รับการบูรณะโดยกรมศิลปากร เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน พ.ศ.2533 ใช้งบประมาณในการบูรณะ 35 ล้านบาท แล้วเสร็จเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2535

เดิมชื่อวัดเจดีย์หลวง “วิหารโชติราม” แปลว่า อารามที่รุ่งเรืองรุ่งเรืองเท่านั้น เพราะเป็นสถานที่เก็บพระธาตุผม และพระบรมสารีริกธาตุขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีเรื่องเล่าว่าพระเจ้าอโศกมหาราชเคยส่งพระอัครราชทูต 8 องค์ นำโดยพระโสณะและพระอุตตรเพื่อเผยแผ่พระพุทธศาสนาในพื้นที่สุวรรณภูมิ รวมทั้งภาคนี้ด้วย โดยได้ถอดพระบรมสารีริกธาตุไปวางไว้ในเจดีย์ขนาดเล็กสูง 90 ซม. ที่สร้างขึ้นในบริเวณที่พระธาตุเจดีย์หลวงประทับอยู่ในปัจจุบัน สมัยนั้นมีชายคนหนึ่งอายุ 120 ปี มีจิตใจเลื่อมใสเอาผ้าห่มชุบน้ำมันบูชา และทำนายว่าในอนาคตจะมีวัดใหญ่ที่นี่เรียกว่าโชติการาม ชาวลัวะทั้งหลายได้นำสิ่งของไปสักการะพระบรมสารีริกธาตุ จึงทรงสร้างเจดีย์สูงสามศอกเป็นที่สักการะ

คำว่าโชติการามยังมีอีกความหมายหนึ่ง คือ เวลาที่จุดโคมประดับบูชาพระธาตุเจดีย์หลวง แสงสีสดใสปรากฏขึ้น มองเห็นเจดีย์ที่มีลักษณะคล้ายเชิงเทียนและมีเปลวไฟลุกโชน เมื่อมองดูก็สวยงามมาก มองเห็นได้จากระยะไกลต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น “วัดเจดีย์หลวง” เพราะหลวงหมายถึง “ใหญ่” ในภาษาเหนือหรือคำเมือง หมายถึง พระธาตุเจดีย์ผู้ยิ่งใหญ่

ประวัติ วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร พระธาตุเจดีย์หลวงถือเป็นพระธาตุที่สูงที่สุดในภาคเหนือหรือล้านนา มีความสูงประมาณ 80 เมตร และมีฐานเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส มีความกว้างด้านละประมาณ 60 เมตร สร้างขึ้นในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 และถือเป็นเจดีย์ที่สำคัญที่สุดในจังหวัดเชียงใหม่วัดเจดีย์หลวง เชียงใหม่พระธาตุเจดีย์หลวงสร้างขึ้นในสมัยพญาแสนเมืองมา (พ.ศ. 2471-2488) กษัตริย์องค์ที่ 7 แห่งราชวงศ์มังราย กษัตริย์ผู้ปกครองเชียงใหม่ในสมัยนั้นคือใคร? สร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่การอุทิศถวายของพญากือนา พญากือนา พ่อของเขาที่เสียชีวิตและปรากฏต่อพ่อค้าจากเชียงใหม่ที่เดินทางไปพม่าเพื่อค้าขาย ให้เขามาบอกพญาแสนเมืองให้สร้างเจดีย์กลางป่า ให้สูงและใหญ่พอให้คนมองเห็นจากระยะ 2,000 เมตร แล้วอุทิศส่วนบุญเหล่านั้นให้พญากือนา เพื่อให้พญากือนาได้ไปเกิดบนสวรรค์ แต่พญาแสนเมืองก็ตายก่อน สมเด็จพระนางเจ้าติลกชุดเดวี สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงสืบทอดพระราชประสงค์ให้ก่อสร้างต่อไป การก่อสร้างใช้เวลาก่อสร้าง 5 ปีในสมัยพญาสามฝั่งคาน

ต่อมาได้รับการบูรณะในสมัยของพระเจ้าโลการัตน์ (พ.ศ. 1984 – 2030) โดยมีพระมหาสวามี สัตธรรมกิตติ เจ้าอาวาสวัดโชติการามองค์ที่ 7 (วัดเจหลวง) เป็นกำลังสำคัญในการควบคุมและประสานงาน การปฏิรูปและการก่อสร้างครั้งนี้ทำให้เจดีย์มีขนาดใหญ่กว่าเดิม การก่อสร้างใช้เวลา 3 ปีในรัชสมัยของพระเจ้ามหาเทวีจิรประภา รัชกาลที่ 15 ตั้งแต่สมัยราชวงศ์มังราย พายุ ฝนตกหนัก และแผ่นดินไหวทำลายพระมหาเจดีย์หลวง เหลือเพียงครึ่งเดียว แล้วยังคงถูกทิ้งร้างยาวนานกว่าสี่ศตวรรษ พระมหาเจดีย์หลวงซึ่งปัจจุบันเปิดให้เข้าชมแล้วเสร็จเมื่อปี พ.ศ. 2535 โดยกรมศิลปากรเท่านั้น

 

บทความแนะนำ